ย้อนดูปูมหลังของ “ชาโด้ สิงห์มาวิน” กำปั้นฝีมือฉกาจ วัย 25 ปี จากเมืองตาก ที่ต้องต่อสู้ดิ้นรนด้วยตัวเองมาตั้งแต่เด็กด้วยการเป็นเด็กขุดมันช่วยคุณแม่ จนมาถึงวันนี้ที่สามารถก้าวขึ้นมาเป็นนักกีฬาอาชีพภายใต้องค์กรศิลปะการต่อสู้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ONE ได้สำเร็จ
เพื่อให้ทุกคนได้รู้จัก “ชาโด้” มากขึ้น วันนี้เราขอพาไปย้อนดูเส้นทางชีวิตของนักสู้ผู้ไม่เคยยอมแพ้คนนี้ ที่ต้องต่อสู้ดิ้นรนเพื่อครอบครัวตั้งแต่วัยเยาว์ โดยมีคุณแม่เป็นแรงบันดาลใจคนสำคัญ ไปจนถึงช่วงเวลาหนึ่งที่เคยหันหลังให้กับสังเวียนผ้าใบ ก่อนจะพลิกชีวิตกลับมาอีกครั้งด้วยการสร้างชื่อในรายการ ONE ลุมพินี และสามารถคว้าสัญญา ONE ผงาดขึ้นเป็นนักสู้ระดับโลกได้อย่างยิ่งใหญ่
#แม่คือไอดอลของจิตวิญญาณนักสู้
จิตวิญญาณความเป็นนักสู้ในตัวของ “ชาโด้” ได้ถูกหล่อหลอมขึ้นตั้งแต่ยังเด็ก เมื่อต้องเติบโตมาในครอบครัวที่มีฐานะยากจน ซึ่งทำให้เขาต้องดิ้นรนต่อสู้อย่างยากลำบากมาตั้งแต่ยังเรียนอยู่ในระดับชั้นประถม และแบบอย่างของความเป็นนักสู้ที่เขาเห็นมาตลอดคือ “แม่แป้ง” นางสมยง สีด้วง แม่บังเกิดเกล้าที่อุทิศตัวทำงานเพื่อหาเลี้ยงครอบครัวอย่างหนัก ซึ่งช่วยทำให้เขากลายเป็นนักสู้ที่ไม่เคยยอมแพ้ในทุกวันนี้
“แม่เป็นคนไม่ยอมคน ไม่ยอมแพ้อะไรง่าย ๆ ผมเคยไปช่วยแม่ขุดมัน แบกใส่กระสอบขึ้นรถ ตั้งแต่อยู่ ป.4 กว่าจะเต็มคันรถ ก็ต้องแบกมันรวมกันหนักหลายตัน ตอนนั้นผมทำแค่อาทิตย์เดียวยังปวดทั้งตัว แต่แม่ผมทำแบบนั้นทุกวันมาตลอด แม้จะไม่สบายแต่ก็ไม่เคยหยุด เพราะไม่อย่างนั้นครอบครัวเราจะไม่มีกิน แม่คือไอดอลของผมเลยครับ”
#ที่มาของชื่อ ชาโด้
“ชาโด้” มีชื่อเล่นว่า “โด้” โดยในอดีตสมัยที่ยังเดินสายชกมวยภูธรเขาเคยใช้ชื่อว่า “ดีโด้” มาก่อน และแม้จะไม่ใช่นักมวยฝีมือจัดจ้าน แต่เขาไม่เคยยอมแพ้ง่าย ๆ ซึ่งในตอนนั้นเส้นทางสายหมัดมวยของเขาเคยเกือบต้องจบลง หลังประสบปัญหาหัวหน้าค่ายไม่มีเวลาดูแล ก่อนที่โชคชะตาจะส่งผู้ใหญ่ใจดีเข้ามาพลิกชีวิต โดยเขาได้รับการชักชวนให้ขึ้นชกในรายการมวยไทย 3 ยก ใช้นวมใหญ่ ทางช่อง 8 ที่กำลังได้รับความนิยมในเวลานั้น
แน่นอนว่า “ดีโด้” ตอบตกลงทันที และหลังจากนั้นเขาก็ได้โอกาสขึ้นชกอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับเปลี่ยนมาใช้ชื่อ “ชาโด้” ซึ่งมาจากไอเดียของการนำชื่อของผู้ใหญ่ที่คอยหารายการให้ที่ชื่อ “ชา” มารวมกับ “โด้” ซึ่งเป็นชื่อเล่นของตัวเอง จนกลายเป็นชื่อที่ใช้มาจนถึงปัจจุบัน
#เป็นช่างแอร์ ประคองชีวิต
ในช่วงที่ชีวิตนักมวยของ “ชาโด้” กำลังไปได้สวยในเมืองกรุง โชคชะตากลับไม่เป็นใจ เมื่อเกิดวิกฤตโควิดแพร่ระบาดอย่างรุนแรง ทำให้ทุกเวทีมวยต้องปิดชั่วคราว “ชาโด้” ไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากเก็บกระเป๋ากลับบ้านเกิด และหันไปยึดอาชีพช่างแอร์เพื่อประคองชีวิต แม้จะไม่ใช่งานที่รัก แต่เขาก็กัดฟันทำอยู่นานเกือบ 2 ปี เพื่อให้ครอบครัวและตัวเองอยู่รอดในช่วงเวลาที่ไม่แน่นอน
แม้จะห่างจากสังเวียน แต่ “ชาโด้” ไม่เคยห่างจากความฝัน โดยยังคงฝึกซ้อมร่างกายอย่างมีวินัย ด้วยความหวังว่าสักวันหนึ่งจะต้องกลับมาชกมวยให้ได้ จนกระทั่งเมื่ออายุ 22 ปี โอกาสสำคัญก็มาถึง เมื่อได้รับการชักชวนเข้าสู่ค่ายมวยสิงห์มาวิน ซึ่งได้กลายเป็นจุดเปลี่ยนให้เขาพัฒนาฝีมือขึ้นอย่างรวดเร็ว และเปิดโอกาสให้ได้มาสร้างชื่อบนเวทีราชดำเนิน ในเวลาต่อมา
#แชมป์ราชดำเนิน สู่ความสำเร็จคว้าสัญญา ONE
ดูโพสต์นี้บน Instagram
หลังจากประสบความสำเร็จคว้าแชมป์มวยไทยเวทีราชดำเนินมาครองในปี 2565 “ชาโด้” ตัดสินใจเปิดรับความท้าทายครั้งใหม่ ด้วยการข้ามฟากมาพิสูจน์ตัวเองบนเวทีการแข่งขันมวยไทยมาตรฐานระดับโลก ONE ลุมพินี ในช่วงต้นปี 2567
แม้จะเปิดตัวด้วยความพ่ายแพ้ แต่หลังจากนั้น “ชาโด้” ก็แสดงให้เห็นถึงพัฒนาการอันยอดเยี่ยม ด้วยการเดินหน้ากวาดชัยชนะ 5 ไฟต์รวดเหนือคู่ชกระดับพระกาฬ จนสามารถคว้าสัญญานักกีฬา ONE มาครองเป็นคนที่ 24 ของรายการได้สำเร็จ พร้อมก้าวขึ้นมาครองตำแหน่งผู้ท้าชิงอันดับ 3 ของแรงกิง ONE มวยไทย รุ่นเฟเธอร์เวต (145-155 ป.) ในปัจจุบัน
#ก้าวแรกในระดับโลก
ก้าวแรกบนเส้นทางสู่การล่าฝันคว้าแชมป์โลก ONE มวยไทย รุ่นเฟเธอร์เวต ของ “ชาโด้” กำลังจะเริ่มต้นขึ้นในศึก ONE Fight Night 33: อัลลิเซีย vs โยฮันนา ที่จะถ่ายทอดสดจากสนามมวยเวทีลุมพินี (รามอินทรา) ในช่วงไพรม์ไทม์อเมริกา ซึ่งตรงกับช่วงเช้าเวลา 08:00 น. ในวันเสาร์ที่ 12 ก.ค.นี้ โดยจะต้องพบกับ “โมฮาเหม็ด ยูเนส ราบาห์” คู่ชกสายแข็งจากแอลจีเรีย ที่ผ่านประสบการณ์คว้าชัยบนเวที ONE (ใหญ่) มาแล้วถึง 2 จาก 3 ไฟต์ที่ลงแข่งขัน ในกติกามวยไทย รุ่นเฟเธอร์เวต (145-155 ป.)
งานนี้ “ชาโด้” จะสามารถสานต่อฟอร์มร้อนจากเวที ONE ลุมพินี มายังสังเวียนระดับโลก ONE Fight Night เพื่อเก็บชัยชนะไฟต์ที่ 6 ติดต่อกันได้หรือไม่ แฟนมวยทั่วประเทศต้องร่วมส่งแรงใจเชียร์นักชกยอดกตัญญูรายนี้ไปพร้อมกัน